หนึ่งในคำถามที่ลูกศิษย์และลูกค้าถามผมบ่อยมากคือ
“อ.เจษ รูปสินค้าไม่ค่อยสำคัญเหรอ เห็นอ.เจษไม่ค่อยให้ความสำคัญ”
ก่อนที่จะตอบคำถามนั้น ต้องขอออกตัวก่อนเลยว่าผมเป็นแฟนพันธุ์แท้หนังสือ Scientific Advertising ที่ ‘บิดาแห่งการโฆษณาสมัยใหม่’ อย่าง Claude Hopkins เขียนขึ้นเมื่อ 100 ปีที่แล้ว
หนังสือเล่มนี้บวกกับอีก 2 เล่มที่อยู่บนโต๊ะของนักการตลาดและนักเขียนโฆษณา (Copywriter) ระดับตำนานทุกคน Adams : The Story of Successful Business Man และ Tested Selling เดชคัมภีร์ลับนักขายนอกตำรา ของ Elmer Wheeler ช่วยให้ผมเริ่มต้นบนเส้นทางการตลาดได้อย่างราบรื่น ทั้งๆที่ตอนนั้น (เมื่อ 10 ปีที่แล้ว) ผมไม่มีความมั่นใจแม้แต่น้อยเรื่องการขายและการตลาด
Claude Hopkins บอกในหนังสือไว้อย่างชัดเจนว่า
“รูปสินค้า ที่คุณใช้ในแอดโฆษณาต้องเป็นยอดนักขายที่สามารถออกไปสร้างยอดขายได้ ไม่ใช่นักแสดงที่ออกไปหวังแค่เสียงปรบมือและรอยยิ้ม ถ้าไม่มีรูปสินค้าที่ขายของได้ ก็อย่าพยายามใช้รูปจะดีกว่า”
ตอบคำถามที่มีคนถามมาข้างบน
“รูปสินค้าสำคัญครับ สำคัญมากด้วย แต่ที่ผมไม่ค่อยใช้รูป หรือไม่ได้พึ่งพารูปมาก ก็เพราะจนแล้วจนรอดไม่ว่าผมจะทำยังไงก็ตาม ผมยังไม่สามารถหารูปสินค้าที่ใช่ ที่มันสามารถขายของให้ผมได้ ซ้ำร้ายบ่อยครั้งที่ทดสอบ รูปที่ผมไปจ้างเขาถ่ายเป็นหมื่นกลับไม่สามารถทำยอดได้เมื่อเทียบกับรูป Mock-up หรือรูปจากกล้องมือถือที่ถ่ายโดยคนถ่ายรูปไม่เป็น (ผมเอง)”
ไม่มีเหตุผลอะไรที่ผมจะต้องดันทุรังในการดิ้นรนถ่ายรูปสินค้าสวยๆเพื่อเอาไปยิงแอดโฆษณา ในเมื่อผลลัพธ์มันไม่ต่างกัน (สำหรับผมเอง) แต่ลึกๆแล้วในใจ ถามว่าผมอยากได้รูปสินค้าที่สามารถขายของได้จริงๆไหม
คำตอบคือ แน่นอนสิ! ใครมันจะไม่อยากได้ ลองคิดดูนะว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ Copy ที่ใช่รวมพลังกับรูปสินค้าที่ใช่ บึ้ม! ออกมาเป็นโกโก้ครันช์ มันเสือติดปีกชัดๆ
เล่าเรื่องยาวให้สั้นเข้า ผมเก็บความปรารถนานี้ไว้ในใจลึกๆ และเน้นฝึกฝนวิชา Copywriting ให้สามารถทดแทนรูปภาพมาตลอด แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยลังเลแม้แต่นิดเดียวที่จะลองจ้างคน รับถ่ายรูปสินค้า ที่มีคนแนะนำมาไม่ว่าจะราคาสูงแค่ไหนก็ตาม เพราะผมรู้ว่าชีวิตผมจะดีขึ้นถ้าเจอคนที่ใช่ที่สามารถ ถ่ายรูปสินค้า ได้ตามตำราของ Claude Hopkins
10 ปีผ่านไปผมได้เจอคนๆนั้นโดยไม่คาดคิด ช่างถ่ายภาพสินค้า ที่ตามหามานาน บทจะเจอมันก็เจอแบบง่ายๆเลย และการพานพบกับเขาก็เป็นที่มาของบทความ Special Report นี้ แต่ก่อนที่ผมจะเฉลยว่าเขาเป็นใครพร้อมวาร์ปในการติดต่อไปหาเขา มาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างใน 1 เดือนที่ผ่านมา
ช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาผมแบ่งกลุ่มทดสอบเป็น 2 ธุรกิจ ธุรกิจแรกคือธุรกิจที่ยิงแอดมาอย่างต่อเนื่อง มีการทดสอบ ติดตามผล และวัดผลมาอย่างต่อเนื่อง และธุรกิจที่สองคือ ธุรกิจที่เริ่มต้นปีที่แล้วแต่มีเหตุให้หยุดชั่วคราวเพื่อปรับทิศทาง เพจไม่ Active นานเกิน 1 ปี เพิ่งกลับมา Active เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2565
สไตล์การยิงแอดของผมคือ “ขี้งก” และ “ใจเสาะ” ครับ ในแต่ละเดือนผมจะพยายามใช้งบยิงแอดไม่เกิน 50,000 บาท โดยเฉลี่ยคือเดือนละ 30,000 บาท บางเดือนก็น่าร้ากยิงไป 8,000 บาทอย่างเดือนกรกฎาคม 2022 ที่ผ่านมา
ตามรูปตอนนี้ท่านน่าจะเข้าใจชัดเจนขึ้นแล้วว่า ผมไม่ใช่สาย Hardcore เรื่องยิงแอด ไม่ใช่เพราะยิงแอดไม่สำคัญ แต่เพราะมันเป็นแค่ส่วนเล็กๆในธุรกิจเท่านั้น อีกอย่างผมไม่พร้อมที่จะปวดหัวทุกครั้งที่พี่มาร์คปรับอะไรวุ่นวาย ผมเลยไปโฟกัสทางอื่นที่ตัวเองถนัดมากกว่า แอดก็ปล่อยมันวิ่งไป งานอื่นก็ทำควบคู่ไป เป็นเช่นนี้มาตลอด
ต้นทุนต่อการคลิก หรือต้นทุนต่อการได้ลูกค้าของผมจากการยิงแอดก็จะอย่างที่เห็นครับจึ้กละ 100-200 บาท เป็นแบบนี้มาตั้งแต่สมัยที่คนอื่นค่าคลิก 5-10 บาทแล้วครับ ซึ่งผมไม่ได้ติดอะไร ผมโอเคกับตัวเลขนี้ อย่าลืมว่าต้นทุนค่าคลิกไม่ได้บ่งบอกอะไร คลิกละ 1,000 ถ้าทำเงินให้ผม 5,000 ผมก็จ่าย กลับกันคลิกละ 10 บาทลูกค้าเข้าวันละ 100 คนแต่ไม่กำไร ผมก็ไม่เอา
ถามว่า แล้วไม่อยากให้ต้นทุนมันลดกว่านี้หรอ? อยากดิ โคตรอยาก 555 น้ำลายหกทุกครั้งที่เห็นคนโพสท์ว่าต้นทุนค่าคลิกน้อยแหละ แต่ก็นะไม่ฝืน ทดสอบไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ได้กับเขาจริงๆเสียที ตรง Concept สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพคนยิงแอด ความสำเร็จไม่ใช่ปลายทาง แต่คือการเดินทาง จริงมะ
และสิ่งที่ทำให้ต้นทุนค่าคลิกของผมต่ำเป็นประวัติการณ์พร้อมทำยอด New High จากฝั่งยิงแอดให้ผมก็คือ
“รูปภาพ”
และต่อไปนี้คือรายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้น
- ฝั่งธุรกิจที่กลับมาโฟกัสใหม่ เพจไม่ Active มาเกิน 1 ปี
จากรูปข้างบน แอดโฆษณาที่ใช้ในธุรกิจนี้คือบรรทัดแรก ใช้เงินไปทั้งสิ้น 637.16 บาท มีคนทักเข้ามาทั้งสิ้น 3 คน ต้นทุนต่อการทัก 212.39 บาท ยอดขาย 0 บาท แอดน่าจะเปิดอยู่อาทิตย์กว่าๆเติมเงินไปวันละ 79 บาท
ผมไม่ได้ Warm เพจด้วยการทำ Content แปะรูป เขียน Copy ยิงแมร่งดื้อๆไปเลย สุดท้ายปิดไปเลียแผลใจสักพัก ประจวบกับเจอ ช่างถ่ายภาพสินค้า ท่านนี้พอดีเลยส่งสินค้าไปให้ถ่ายให้ใช้เวลาถ่าย 3 สัปดาห์เพราะคิวเขาเยอะบวกกับของผมส่งไปหลายชิ้น
กลับมาเปิดแอดอีกครั้งช่วงวันที่ 20 สิงหาคม และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น
เช่นเคย เติมเงินวันละ 79 บาท ใช้กลุ่มเป้าหมายเดิม เปลี่ยนอย่างเดียวคือ รูปภาพสินค้า
ใช้เงินไปทั้งสิ้น 516.04 บาท มีคนทักเข้ามาทั้งสิ้น 6 คน ต้นทุนต่อการทัก 86.01 บาท ยอดขาย 110,500 บาท!!
บอกได้คำเดียวครับ “แจ่ม”
- ฝั่งธุรกิจที่ยิงแอดมาอย่างต่อเนื่อง มีการทดสอบ ติดตามผล และวัดผลมาอย่างต่อเนื่อง
ต้นทุนต่อการคลิกเฉลี่ย 100-200 บาทมาจากธุรกิจนี้ครับ และผมบอกได้เลยว่ามีหลุดต่ำกว่า 200 ให้เห็นนี่ถือว่าบุญแล้ว เพราะปกติ 200+ หมด
กรอบการทดสอบในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาคือ แอดละ 79 – 159 บาทต่อวัน กลุ่มเป้าหมายเดิม Copy เดิม สวดมนต์คาถาเดิม เปลี่ยนอย่างเดียวคือ รูปภาพ และมีการเปิดเทียบกันจาก 3 แหล่งด้วยกัน
1. รูป Mockup สินค้า (ใช้ Photoshop)
2. รูปสินค้าที่จ้าง Studio ถ่าย (ใช้รูปเดิมตั้งแต่ปีที่แล้ว)
3. รูปสินค้าที่จ้าง ช่างถ่ายภาพสินค้า ตามตำราของ Claude Hopkins ถ่าย
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็ตามที่ผมบอกท่านเมื่อตอนต้น ต้นทุนค่าคลิกของผมอยู่ที่ New Low ต่ำที่สุดตั้งแต่เริ่มธุรกิจมาดูได้ตามรูป
รูปแรกคือ แอดโฆษณาที่ใช้รูป Mockup สินค้า รูป Mockup คือรูปที่ไม่ใช่รูปถ่ายที่เกิดขึ้นจาก Photoshop เอาไปตัดต่อให้ดูสวยงาม ที่ผ่านมาผมใช้ Mockup ยิงแอดเป็นหลัก ต้นทุนค่าคลิกเฉลี่ย 200+ กำไรเฉลี่ย 300-500% ต่อแอด อัตราส่วนการปิดการขายอยู่ที่ 65% ของคนที่ทักเข้ามา
บรรทัดแรกที่ปิดไว้คือ ของธุรกิจอันแรกที่เล่าให้ฟัง
รูปที่สองคือ แอดโฆษณาที่ใช้รูปที่จ้าง Studio ถ่าย ต้นทุนค่าคลิกเฉลี่ย 100 – 200 บาท กำไรเฉลี่ย 500 – 1,000% ต่อแอด อัตราส่วนการปิดการขายอยู่ที่ 50% ของคนที่ทักเข้ามา (ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมมันปิดการขายยากขึ้น แต่ถ้าปิดได้คือยอดใหญ่ขึ้น)
ซึ่งผมโอเคกับตัวเลขนี้ เลยใช้รูปนี้ยืนพื้นมาตลอด 1 ปีกว่าๆ ที่วงไว้คือแอดที่ใช้รูปของ Studio ครับ
และแล้วก็มาถึงรูปที่สามที่เป็นพระเอกของโพสท์นี้ รูปสินค้าที่จ้าง ช่างถ่ายภาพสินค้า ตามตำราของ Claude Hopkins ถ่าย ผมเริ่มใช้รูปนี้ช่วงกลางเดือนสิงหาคม ค่าแอดที่กินไปอาจไม่เยอะมาก แต่ผลลัพธ์มันชัดเจนมาก และด้วยรูปภาพนี้เองที่ทำให้ผมได้ New Low ต้นทุนค่าคลิก และ New High ยอดขายจากแอดโฆษณา
แอดที่วงไว้คือ แอดที่ใช้รูปสินค้าที่จ้าง ช่างถ่ายภาพสินค้า ตามตำราของ Claude Hopkins ถ่ายครับ
จะเห็นได้ว่าต้นทุนค่าคลิกเฉลี่ยไม่ถึง 100 บาท ที่มันว้าวมากๆคือ อัตราการปิดการขายอยู่ที่ 80% กำไรเฉลี่ยอยู่ที่ 2,000 – 5,000% (ผมไม่รู้คิดถูกไหมนะ แต่ทุกๆ 79 บาทที่จ่ายไปจะได้กำไรกลับมาประมาณ 3,000 – 5,000 บาทต่อแอด
ตั้งแต่เริ่มต้นยิงแอดมา ผมไม่เคยได้ผลลัพธ์แบบนี้มาก่อน
ผมเขียน Special Report นี้ขึ้นตามสัญญาที่ให้เขาเอาไว้ว่า ถ้ารูปที่เขาถ่ายให้ได้ผลลัพธ์ในระดับที่ผมพึงพอใจ ผมจะเขียนรีวิวให้ มันยิ่งกว่าพึงพอใจ มันบ้าไปแล้วสำหรับคนที่ไม่ได้เก่งเรื่องการยิงแอดแบบผม
ผมเข้าใจว่าสิ่งที่ผมเขียนมันอาจจะดูเกินจริง หลักฐานก็ไม่มี ไม่มีชื่อเพจ ไม่มีรูปประกอบ มีแค่ Report ดังนั้นท่านไม่จำเป็นต้องเชื่ออะไรผมแม้แต่น้อย แต่ในเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ ผมอยากให้ท่านดูผลงานของช่างภาพรับถ่ายสินค้าคนนี้และตัดสินใจด้วยตัวเอง
สิ่งที่ท่านต้องเตรียมคือ รูปสินค้า และแนวทางที่ท่านต้องการ ที่เหลือเขาคิด Concept ให้หมด พกไปแค่ Passion กับความต้องการ ที่เหลือเขาจัดการเอง
ตอนที่ผมส่งไปผมส่งไปแค่รูปสินค้า และบอกเขาว่า เอาตามเห็นสมควรจากประสบการณ์เลย เพราะผมโนไอเดียจริงๆ
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลามากกว่านี้ ขอแนะนำให้รู้จักกับ แม่เกรซ ช่างภาพรับถ่ายสินค้า ที่สามารถถ่ายรูปสินค้าได้ตรงตามตำราโบราณของ Claude Hopkins ครับ
อันนี้ Facebook ส่วนตัว >> Patthion Nopworawat
อันนี้เพจ – Gracesy Mommy take a photo – แม่เกรซรับงานถ่ายภาพสินค้า
ก่อนจากกัน อันนี้ Report ของเดือนนี้ (1 – 3 กันยายน) ครับ
15 บาท!!!!!
ไม่คิดไม่ฝันว่าชีวิตนี้จะได้เห็น!!!
อีกครั้งขอบคุณที่ถ่ายรูปสวยๆให้ มันเหมือนที่คุณเกรซพูดเลย รูปที่ออกมาเหมือนผมกำลังไปยืนขายอยู่ตรงหน้าลูกค้าจริงๆ ขอให้โชคดีครับ
OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์
ปล. ขั้นต่อไปของผมคือ ค่อยๆ Scale Up และทยอยเปลี่ยนรูปสินค้าจนครบทุกสินค้า