บทความนี้มาจากคลิป Youtube ของไรอัน เซอร์ฮานท์ นายหน้าอสังหาริมทรัพย์แนวหน้าของนิวยอร์ค “I Met 94 Billionaires … Here’s 6 Things I Learned”
ด้วยความที่เป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์โปรไฟล์ดีและมาแรงมากๆ เขามีโอกาสได้เจอและร่วมงานกับมหาเศรษฐีพันล้านหลายต่อหลายคน
เขาบอกว่า ทุกวันนี้มีมหาเศรษฐีพันล้าน 2640 คนบนโลก คนที่มี Net Worth มากกว่า 1,000 ล้านเหรียญ และในโทรศัพท์ของเขามี Contact คนเหล่านี้ถึง 94 คน
ต่อไปนี้คือ 6 อย่างที่มันน่าสนใจมากๆที่เขาได้เรียนรู้จากการได้ร่วมงานกับกลุ่มคนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
1. เศรษฐีพันล้านเลือกส่งข้อความ ไม่ยกหูคุย
เวลาคือเงิน มหาเศรษฐีพันล้านทุกคนรู้คุณค่าของเงินดี อันที่จริงพวกเขารู้คุณค่าของเงินและเวลามากกว่าทุกคนที่ผมรู้จักหลายมิติเลย พวกเขามีทีมงาน ทีมกฎหมาย ทีมการตลาด ทีมประชาสัมพันธ์ มีคนที่ต้องการเวลาเขาตลอดเวลา แต่พวกเขารู้ว่าไม่มีเรื่องไหนสำคัญเท่าเวลาของพวกเขา พวกเขาไม่ยอมให้การคุยโทรศัพท์ขโมยเวลาของพวกเขา
พวกเขาเลือกใช้วิธีส่งข้อความ Text หรือข้อความเสียง เพราะมันใช้เวลาน้อยมากๆ ที่สำคัญพวกเขาเลือกใช้แอปอย่าง Signal ที่ลบข้อความที่ส่งออกไปอัตโนมัติ เพราะส่วนใหญ่สิ่งที่พวกเขาส่งเป็นความลับสำคัญ
Jeff Bezos เจ้าของ Amazon ทำเงินได้วินาทีละ 2,500 ดอลลาร์ เขาไม่ยอมให้ใครมาเอาเวลาของเขาไปง่ายๆด้วยการยกหูคุยโทรศัพท์ เว้นแต่ว่ามันคุ้มค่าจริงๆ
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ตอนนี้ผมมีดีลอสังหาริมทรัพย์กับลูกค้า 2 คน ดีลมูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ กับ 100 ล้านดอลลาร์ ลูกค้าดีล 1 ล้านดอลลาร์พยายามโทรหาผม 62 ครั้งเพื่อนัด Meeting พยายามเอาทีมกฎหมาย เอาครอบครัว เอาทุกคนมานั่งคุยกัน ในขณะที่ดีล 100 ล้านดอลลาร์ ที่ผมอยากนัดคุย อยากยกหูโทรศัพท์หา เขาไม่รับสายผมเลย แต่พอส่งข้อความหา ทุกอย่างเดินหน้าแบบเรียบง่าย
คนทั่วไปมีไอเดียว่าการเป็นคนมั่งคั่งต้องทำอย่างไร พวกเขารู้หมดแหละ แต่คนที่มั่งคั่งจริงๆเข้าใจว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงคือ ทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของเขา นั่นคือ เวลา
คนที่มั่งคั่งจริงๆ จะไม่ยอมเสียเวลาทั้งของตัวเองและของคนอื่น
2. เศรษฐีพันล้านเชี่ยวชาญการไม่เสียเวลา
หลายปีก่อนตอนที่ผมได้ไปนั่งกินข้าวกับลูกค้ามหาเศรษฐีพันล้านคนแรก สิ่งแรกที่เขาทำคือ สั่งน้ำเปล่าก่อน พอบริกรเอาน้ำมาเสิร์ฟ เขาสั่งอาหารทันที และถามผมว่าผมจะสั่งอะไร พอผมยังไม่รู้ เขาบอกว่า เขาจะสั่งให้เลย เราจะได้ไม่เสียเวลาคุย เวลาทุกนาทีมีค่าจริงๆ
มันน่าแปลกใจเพราะผมไม่เกร็งเลย ออกจะผ่อนคลายด้วยซ้ำ ทั้งๆที่รู้ว่าเวลาเป็นเงินเป็นทอง
พอผมได้โอกาสทานข้าวกับลูกค้ามหาเศรษฐีพันล้านคนที่สอง เขาไม่ได้ดูเมนูด้วยซ้ำ เขายกมือขึ้นแล้วบอกบริกรว่า “เซอร์ไพรซ์เราหน่อย” เขารู้อยู่แล้วว่ายังไงก็ต้องอร่อยเพราะเราคุยกันในภัตตาคารหรู
มหาเศรษฐีพันล้านทำตัวแตกต่างจากคนทั่วไป พวกเขาแตกต่างแต่ไม่หยาบคาย พวกเขารู้ว่าเวลาของบริกรก็มีค่าเช่นเดียวกันและไม่พยายามทำให้ใครก็ตามเสียเวลาแม้แต่น้อย
อันนี้เป็นตัวอย่างเรื่องการตัดสินใจและการใช้เวลากับเรื่องเล็กๆน้อยๆอย่างสั่งอาหารเย็น
สิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ คนประสบความสำเร็จ พวกมหาเศรษฐีพันล้านใช้เวลาตัดสินใจในเรื่องที่ใหญ่มากๆ เร็วยิ่งกว่า ใช้เวลาตัดสินใจเรื่องเล็กๆน้อยๆ
เรื่องนี้ในหนังสือ Think and Grow Rich OHMPIANG Edition ยืนยันตรงกัน
“คนสำเร็จตัดสินใจอย่างรวดเร็วและใช้เวลานานกว่าจะเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจนั้น ในขณะที่คนล้มเหลวเรื่องเงิน กว่าจะตัดสินใจอะไรได้ใช้เวลานานมาก แถมมีแนวโน้มจะเปลี่ยนใจเร็วและบ่อยมาก”
เพราะการตัดสินใจคือ หน้าที่ของพวกเขา
3. เศรษฐีพันล้านไม่ไว้ใจใครง่ายๆ พวกเขาไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบ
นี่คือเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงไม่ยอมเจอหรือยอมนัดคุยกับใครง่ายๆ พวกเขาไม่ไว้ใจใครง่ายๆ เพราะพวกเขาเคยพลาดเรื่องนี้มาเยอะจนเอียนแล้ว กว่าจะมาถึงจุดนี้พวกเขาถูกเอาเปรียบมาตั้งเท่าไหร่ พวกเขาเรียนรู้บทเรียนที่ผ่านมาอย่างดี
เมื่อใดก็ตามที่มีคนเข้าหาพวกเขา หรือเข้ามาในวงกลมแห่งความเชื่อใจของพวกเขา สิ่งแรกที่พวกเขาทำคือ ตั้งกำแพงทันที เหตุผลง่ายๆ เพราะเขารู้ว่าทุกคนมีเหตุผลที่พยายามเข้ามาในชีวิตเขา
วิธีที่ผมใช้สำหรับการเข้าหาลูกค้าระดับมหาเศรษฐีคือ ผมทำงานให้พวกเขาฟรีๆครับ ผมไม่เอาค่านายหน้าเลย ซึ่งแน่นอนว่าค่านายหน้าอันน้อยนิดของผมมหาเศรษฐีพวกนี้จ่ายได้อยู่แล้ว แต่ตรงนี้แหละครับที่คนที่เห็นคุณค่าของผู้อื่นจริงๆแตกต่างจากคนอื่น
พวกเขาไม่มีทางให้ผมทำงานฟรีๆ พวกเขามีน้ำใจและต้องหาทางตอบแทนคนที่ทำงานไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
อีกอย่างหนึ่งที่ผมทำเพื่อให้ลูกค้ามหาเศรษฐีรู้ว่าผมไม่ได้มาเอาเปรียบพวกเขาและจะไม่มีวันทำเช่นนั้นคือ ผมเข้าตามตรอกออกตามประตู ผมหมายถึงผมค่อยเริ่มจากคนวงนอกของวงกลมแห่งความเชื่อใจของเขาก่อนและไม่ข้ามหัวใคร
ความเชื่อใจเป็นเรื่องเปราะบาง คุณได้มาเร็ว คุณจะเสียมันเร็ว
เศรษฐีพันล้านไม่เสียเวลาเสียดายความสัมพันธ์ใดๆที่ทำให้เขาเสียเวลาหรือเสียความเชื่อใจ ต่อให้คุณทำงานกับเขามา 10 ปีแต่ถ้าทำให้พวกเขาหมดความเชื่อใจหรือความมั่นใจแม้นิดเดียว พวกเขาจะไม่เสียเวลาแม้วินาทีเดียวกับคุณอีก เพราะอย่าลืมว่า ยิ่งถ้าสิ่งที่คุณทำมีคนอีกมากทำได้ ยิ่งหาคนมาแทนง่าย
4. เศรษฐีพันล้านเข้าใจความแตกต่างระหว่างทรัพย์สินและสิ่งของฟุ่มเฟือย
มันอาจฟังดูเป็นเรื่องปกติที่จะบอกว่า พวกเขาไม่กลัวที่จะใช้เงิน แต่มันน่าสนใจที่จะเรียนรู้ว่าพวกเขาใช้เงินไปกับอะไร
ผมเองสนุกกับการได้เห็นอุปนิสัยการใช้เงินของลูกค้าที่เป็นเศรษฐีพันล้าน พวกเขาขี้เหนียวมากกับบางอย่าง และสายเปย์มากกับบางอย่าง
พวกเขาสามารถยกเลิกสัญญาโปรเจคหนึ่งแค่เพราะมันแพงกว่าที่พวกเขาคิดไป 5 ดอลลาร์ ในขณะเดียวกันพวกเขากลับยอมทุ่มจ่ายแพงกว่าราคาตลาดหลายล้านดอลลาร์ในอีกโปรเจคหนึ่ง
ความแตกต่างอยู่ที่คำๆเดียว “การเติบโต” พวกเขายอมจ่ายเต็มที่กับสิ่งที่สามารถเติบโตได้ และสิ่งที่เพิ่มคุณค่าให้ชีวิตของพวกเขา บางคนอาจมีบ้านใหญ่เป็นวัง มีรถหรู มีเครื่องบิน แต่ในขณะเดียวกันก็ใส่เสื้อผ้าธรรมดา ชนิดเดินสวนกันไม่รู้เลยว่ารวยล้นฟ้า หรือบางคนอาจจะเต็มเหนี่ยวกับชีวิตไปเลย ซึ่งสุดท้ายมันไม่สำคัญ
ประเด็นสำคัญคือ พวกเขารู้ไง ว่าอะไรที่จ่ายไปแล้วเพิ่มคุณค่าให้ชีวิตพวกเขา และนิยามคุณค่าของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
แต่ร้อยทั้งร้อย ทุกอย่างสามารถนำไปต่อยอดได้ทั้งสิ้น ลองคิดดูสิถ้ามีใครสักคนชวนคุณว่า
“วันเสาร์นี้ว่างไหม มาที่เรือยอร์ชผมสิ เราจะได้นั่งคุยดีลพันล้านกันว่าจะทำงานร่วมกันได้อย่างไร”
5. เศรษฐีพันล้านโฟกัสทำเฉพาะเรื่องที่เขาคนเดียวเท่านั้นทำได้
เรื่องนี้เป็นบทเรียนข้อสำคัญที่สุดของผมเลย พวกเขาลงมือทำเฉพาะเรื่องที่พวกเขาทำได้ดีที่สุด สิ่งที่เขาคนเดียวเท่านั้นที่ทำได้ และทำมันอย่างสุดความสามารถ อะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องสำคัญที่สุดที่เขาคนเดียวเท่านั้นทำได้ เขาหาคนที่ถนัดกว่ามาทำแทน
พวกเขาอยู่ในจุดที่ทำมาทุกอย่างแล้ว ทำเยอะจนวางและหาคนมาทำแทนได้แล้ว
ถ้าวันนี้ผมจะเริ่มเลียนแบบคนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลก ผมจะเริ่มจากการโฟกัสทำในสิ่งที่มีแต่ผมเท่านั้นที่ทำได้ ในธุรกิจหรืองานที่ผมทำ
6. เศรษฐีพันล้านก็คนเหมือนๆเรา
พวกเขามีความต้องการ มีความท้าทาย มีปัญหาเหมือนๆกับเรา เพียงแต่ปัญหาที่พวกเขาเจอ เป็นปัญหาที่มีคุณภาพมากกว่าที่คนทั่วไปเจอ
ตอนที่ผมยังใหม่ๆ ผมเดินทางไปพบลูกค้าที่เป็นเศรษฐีพันล้านคนแรกๆ ที่สนามบินส่วนตัว เพื่อขึ้นเครื่องบินส่วนตัวของเขา พอไปถึง ปรากฎว่าเกิดปัญหาขึ้นทำให้เครื่องบินขึ้นไม่ได้ เขาหงุดหงิดมากเพราะนั่นหมายถึงเขาต้องซื้อเครื่องบินส่วนตัวลำใหม่
มันฟังดูบ้ามาก น่าจะเป็นปัญหาของมนุษย์ 0.0001% ของโลกนี้ แต่เขาไม่ได้ฟูมฟายนะ ปัญหาของเขาเป็นปัญหาตามระดับคุณภาพชีวิต ยิ่งคุณภาพชีวิตสูง ปัญหาที่เจอยิ่งราคาสูง มันเป็นเรื่องธรรมดา
ถ้าคุณอยากมีลูกค้าระดับสูง คุณต้องสามารถแก้ปัญหาคุณภาพสูงที่พวกเขาเจอ และถ้าคุณสามารถแก้ปัญหาคุณภาพสูงให้พวกเขาได้จริง อนาคตของคุณสดใสแน่นอน
ที่มา >>