ผมรู้สึกว่าตัวเองค่อนข้างโชคดี เพราะช่วง 10 กว่าปีที่แล้ว จู่ๆก็ได้จับพลัดจับผลูไปเป็นล่ามตามงานสัมมนาและงานประชุมด้วยความบังเอิญ
จากงานแรกที่คนแปลหลักไม่สบาย และอีกหลายร้อยงานหลังจากนั้นเพราะพลังของการบอกต่อ (คือพี่แปลมันส์ไง เน้นมันส์ไม่เน้นตรง ถึงคนบนเวทีจะน่าเบื่อ แต่ผมทำให้แซ่บได้ ก็เขาให้มาแปลไม่ได้มาเทศน์มหาชาติ)
มันทำให้ผมได้มีโอกาสเข้าห้องสัมมนามากมาย ห้องยิ่งเล็กยิ่งแพง คนยิ่งน้อยยิ่งแพง ยิ่งได้ไปแปลข้างไข่ลูกค้าตอน Dinner ยิ่งไม่ต้องพูดถึง มันเลอค่ามาก
ทีนี้พอได้รับโอกาสแปลบ่อยเข้า ผมก็มีไอดอลความสำเร็จมากขึ้นตาม แน่นอนว่าส่วนใหญ่เป็นเศรษฐีกัน และก็มีอยู่วันหนึ่งได้ไปอยู่ในวงเศรษฐีคุยกัน มันน่าตื่นเต้นมาไอดอลเราทั้งนั้นเลย
ห้องนั้นเป็นเหมือนห้องเล็กประมาณ VIP Coffee Meeting แนวถามตอบพูดคุยเฮฮา พระเอกของงานมีธุรกิจอยู่หลายสิบประเทศทั่วโลก ผมก็ทำหน้าที่กระซิบแปลไป
ช่วงหนึ่งเป็นช่วงแชร์ประสบการณ์ ไอดอลของผมคนหนึ่งลุกขึ้น เขาบอกว่าเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ตอนที่เขาเพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจ เขาโชคดีมากที่ได้เมนทอร์ดี (คนที่นำ Coffee Meeting) และเขาได้รับบทเรียนที่ดีมากๆ
เขาบอกว่า ตอนที่เขาเริ่มต้น เขาเหนื่อยมาก เพราะต้องไปตามเมืองต่างๆเพื่อดูแลสาขาธุรกิจ สาขาไหนไม่ไปนานๆก็เละ เลยต้องหมั่นไปตรวจงาน ทีนี้ไอ้เหนื่อยกายเขาไม่หวั่น แต่ที่บั่นทอนคือค่าน้ำมันรถ มันโหดมากๆ
เขาเล่าต่อว่า ตอนนั้นเขาถามเมนทอร์ของเขา (คนที่นำ Coffee Meeting) ว่า คุณเองก็มีธุรกิจที่ต้องเดินทางบ่อยและแน่นอนว่าธุรกิจของคุณใหญ่กว่าของผมไม่รู้กี่เท่า คุณรับมือกับปัญหานี้ได้อย่างไร?
คุณตอบผมว่า “ทุกธุรกิจมีราคาที่ต้องจ่าย ยิ่งมีความฝันและเป้าหมายที่ใหญ่ ป้ายราคามันยิ่งโหดตาม สิ่งที่ต้องทำก็เพียงโฟกัสไปที่เป้าหมาย ทำทุกอย่างที่ทำได้เต็มศักยภาพ และถ้าทำแบบนั้นนานพอปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้น”
คำตอบนี้ของคุณดีมากแต่ไม่ได้ทำให้ผมตื่นเต้น สิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้นจนนอนไม่หลับคือ ที่คุณพูดต่อจากนั้นที่บอกว่า
“คุณมีรถ คุณบ่นเรื่องค่าน้ำมันรถ ผมผ่านจุดนั้นมาแล้ว ทุกวันนี้ผมมีเครื่องบินเจ็ท แต่ผมไม่บ่นค่าน้ำมันเครื่องบินเจ็ท เพราะรู้อะไรไหม ถ้าเทียบจากรายได้แล้วค่าน้ำมันเครื่องบินเจ็ทของผมถูกกว่าค่าน้ำมันรถของคุณ และค่าเครื่องบินเจ็ทของผมก็ถูกกว่ารถที่คุณใช้ คุณต้องมองภาพใหญ่ให้ออกว่ากำลังทำอะไร และลงมือทำจนกว่าค่าน้ำมันเครื่องบินเจ็ทของคุณในอีก 10 ปีข้างหน้าราคาถูกกว่าค่าน้ำมันรถของคุณในตอนนี้”
ผมล่ะแปลไปตื่นเต้นไป มันบ้าบอมาก พี่ๆเขาคุยอะไรกัน มันคนละโลกไปเลย
เมนทอร์ของเขาที่ฟังอยู่บนเวที พอฟังจบก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ถามมาคำเดียว “ไหนเครื่องบินเจ็ทของคุณ?”
“ผมกลัวการบินครับ” ก็ฮากันไป
เรื่องที่เพิ่งเล่าให้ฟังเป็นหนึ่งในเรื่องที่ผมจำได้ติดหูติดตาราวกับเพิ่งเกิดเมื่อวาน ผมชอบเรื่องนี้มาก ประจวบกับมีคนถามผมมาพอดีเรื่อง Mindset การเงินของเจ้าของธุรกิจ
ผมอยากจะบอกว่าผมไม่ถนัดเอาจริงๆเรื่องที่ถามมา และไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะให้คำปรึกษาอะไรใครได้เรื่องนี้ แต่ผมสามารถแบ่งปันแนวคิดที่ไม่รู้ว่าเกี่ยวไหมที่ผมใช้มาตลอดได้ มันมาจากเหตุการณ์ที่ผมเพิ่งเล่าให้ท่านฟังนั่นแหละ
“ถ้าวันนี้ค่าน้ำมันเครื่องบินเจ็ทของท่านถูกกว่าค่าน้ำมันรถเมื่อตอนที่ท่านเริ่มต้น จะทำอะไรก็ทำไปเถอะ ไม่มีใครกล้าว่าอะไรมากหรอก”
ลุยครับ
OHMPIANG
ธีระธรณ์ จิรธนัยโรจน์