fbpx

หวังว่าจะสนุกกับบทความหรือ Podcast ตอนนี้นะครับ ถ้าชอบฟังหนังสือเสียงที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวา และพลังงาน คลิกที่นี่ เพื่อ Download แอป OHMPIANG ได้เลยครับ


สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการตื่นตี 3.50 น. ทุกวัน

  • Home
  • /
  • Podcast
  • /
  • Success
  • /
  • สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากการตื่นตี 3.50 น. ทุกวัน
ตื่นตี 4

ปกติผมเป็นคนที่ตื่นค่อนข้างเช้าอยู่แล้ว (ประมาณ​ 6 โมงก็ตื่นแล้ว) และก็รู้สึกชื่นชมเรื่องราวของคนสำเร็จที่บอกว่าพวกเขาตื่นกันตั้งแต่ตี 4 จนบ่อยครั้งก็แอบถามตัวเองว่า “หรือเงื่อนไขของความสำเร็จคือต้องตื่นตี 4 ฟะ”

คนสำเร็จระดับโลกอย่าง โอปราห์ หรือแจ็ค ดอร์ซีย์ (CEO ของ Twitter) และทิม คุ๊ก (CEO ของ Apple) ล้วนตื่นประมาณตี 4 กันหมด

คือไม่ใช่อะไร ถ้ามันเป็นเงื่อนไขจริงก็จะลองสักตั้ง อีกอย่างตั้งแต่มีลูกคนแรกก็แอบรู้สึกว่าเวลาในการทำอะไรมันน้อยลงไปเยอะ เพราะทำงานอยู่บ้านและช่วยภรรยาเลี้ยงลูก (ที่น้อยลงไม่ใช่ว่าลูกกวนนะครับ น่าจะกลับกันเราไปกวนลูกมากกว่า เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะวิ่งเข้าไปเล่นด้วย)

ก็เลยตั้งใจเอาไว้ลึกๆว่า ถ้ามีโอกาสจะลองตื่นตี 4 ดู และโอกาสนั้นก็มาถึงเร็วกว่าที่คิด เมื่อมีคนชวนไปปฏิบัติธรรมกรรมฐาน 7 วัน ตลอดเวลาที่อยู่กรรมฐานต้องตื่นตี 4 ขึ้นมาทำวัตรเช้า จบกรรมฐานเลยเนียนตื่นตี 4 นับแต่นั้นมา ตอนนี้ก็ทำมาได้ 5 เดือนแล้ว

ส่วนเรื่องตื่นตี 3.50 ตามท่านชัชชาติ เกิดขึ้นหลังกลับจากกรรมฐานประมาณ 1 เดือนและได้อ่านบทสัมภาษณ์ตอนหนึ่งของท่านชัชชาติที่บอกว่า ปกติตื่นตี 3.50 ทุกวัน แต่ไม่ได้แนะนำให้ทำตามถ้าตื่นมาแล้วไม่มีอะไรทำ

ผมไม่รอช้าลองทำตามทันที เพราะถึงตื่นตี 4 แต่กว่าจะล้างหน้า แปรงฟัน นั่งสมาธิเสร็จ ได้เริ่มงานจริงๆนู่นประมาณตี 4.45 เหลือเวลาทำงานจริงๆอีกแค่ 30 นาทีเพราะตั้งใจจะไปวิ่งออกกำลังตี 5.15 ตามทฤษฎีแล้วถ้าตื่นเร็วขึ้น 10 นาทีจะมีเวลาเพิ่มอีก 10 นาทีจริงไหม?

ไม่จริงครับ และนี่เป็นเรื่องแรกที่ผมแปลกใจ เพราะตอนที่ตื่นตี 4 ผมได้เริ่มงานจริงๆจังๆตอนตี 4.45 แต่พอตื่นตี 3.50 ผมได้เริ่มงานตอนตี 4.30 แถมหัวก็แล่นและคิดงานออกได้ง่ายขึ้น

แต่ถ้านอกเหนือจากเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรมาก เอาเป็นว่าผมจะเล่าให้ฟังละกันว่าได้อะไรบ้างจากการตื่นช่วงตี 4

1. โคตรง่วงเลย

ผมไม่ใช่ยอดมนุษย์ ไม่ได้มีจิตวิญญาณของนักรบ และจะไม่ขอเคลือบช็อคโกแลต เพราะตื่นตี 4 ว่าง่วงแล้วแต่ตื่นเร็วกว่านั้นอีก 10 นาทีนี่โคตรจะง่วงขึ้นหลายเท่าเลย แต่ที่ผมค้นพบคือถ้าสามารถงัดตัวเองขึ้นมาได้จะสดชื่นมาก อันนี้ไม่รู้เกิดจากความสะใจที่เอาชนะใจตัวเองได้หรือเปล่า มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ตื่นตี 3.50 ง่วงกว่า แต่ถ้าเคลียร์เงื่อนไขได้จะสดชื่นมาก

2. เข้าสมาธิได้ง่ายขึ้น

หลังกลับจากกรรมฐานผมพยายามทำให้เป็นนิสัยว่าจะนั่งสมาธิหลังตื่นนอนตอนเช้าและก่อนเข้านอน ผมค้นพบว่าสามารถเข้าสมาธิในตอนเช้าได้ง่ายกว่าตอนกลางคืน เข้าสมาธิง่ายกว่าและนั่งได้นานกว่า

เรื่องนี้ได้มีโอกาสถามพระอาจารย์ที่สอนกรรมฐาน ท่านให้คำตอบว่า มันอยู่ที่จริตคน บางคนอาจนั่งได้ดีตอนเช้า บางคนอาจนั่งได้ดีตอนกลางคืน แต่ท้ายที่สุดถ้าฝึกไปแล้วจะนั่งตอนไหนก็นั่งได้ดีเหมือนกัน

ผมเองเพิ่งเริ่มฝึกเลยต้องอาศัยช่วงเวลาที่เหมาะสมในการนั่งต่อไป

3. มีวินัยมากขึ้น

ผมค้นพบว่าตั้งแต่ที่เริ่มตื่นตี 4 ได้ติดต่อกัน ผมมีวินัยในการทำสิ่งต่างๆมากขึ้น

จากปกติที่นึกอยากทำอะไรตอนไหนก็ทำ กลายเป็นทำอะไรมีแบบแผน มีการบริหารเวลาได้ดีขึ้น และรู้สึกว่าเวลามีค่ามากขึ้น

เมื่อมีวินัยมากขึ้น งานก็เดินหน้าได้ราบรื่นขึ้น เมื่องานราบรื่นความมั่นใจก็มีมากขึ้น

ข้อนี้ผมคิดว่าเป็นไฮไลท์ของการตื่นเช้าเลย เพราะวินัยมันแพร่ระบาดได้ พอผมเริ่มมีวินัย ลูกชายของผมก็มีวินัยตาม ถ้าตอนนี้ท่านเป็นพ่อแม่มือใหม่ ลองจัดตารางเวลาให้ลูกดูนะครับ ผมว่ามันเป็นอะไรที่สุดยอดมาก

ลูกชายของผมตั้งแต่มีตารางเวลาของตัวเองที่ชัดเจน จากที่ร่าเริงอยู่แล้วกลายเป็นเด็กที่ร่าเริงมากขึ้นหลายเท่า ทำอะไรมั่นใจมากขึ้น มีความสุขขึ้น และเรียนรู้อะไรได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญเมื่อลูกมีวินัยและตารางเวลาของตัวเอง พ่อแม่จะมีเวลามากขึ้นด้วยครับ

4. ทำงานได้มากขึ้น

อีกข้อนึงที่ผมชอบมากๆจากการได้ตื่นเช้าคือ ได้นั่งทำงานเงียบๆ

งานของผมในฐานะที่ปรึกษากลยุทธ์และนักเขียนโฆษณา (Copywriter) ต้องใช้สมาธิในการดึงดูดไอเดียจากจักรวาลค่อนข้างเยอะ 😀 ดังนั้นผมต้องการเวลาเงียบๆซึ่งแทบเป็นไปไม่ได้เลยตั้งแต่มีลูก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาครับ แก้ที่ตัวเองด้วยการตื่นให้เช้าขึ้นเพื่อความเงียบที่ต้องการ

แต่ไหนแต่ไรมาผมคิดเสมอว่าตัวเองมีสมาธิเวลาทำงานตอนดึกๆ แต่ขอบอกว่าตอนนี้ค้นพบแล้วว่า มีสมาธิมากกว่าเวลาทำงานตอนเช้ามืด

5. หลับสบายขึ้น สนิทขึ้น ง่ายขึ้น

ช่วงไหนที่ต้องปิดต้นฉบับหนักๆ หรือมีงานเยอะ ผมจะมีปัญหาเรื่องการนอนพอสมควร เพราะไม่สามารถวางเรื่องงานไว้ข้างนอกได้ ต้องพกเข้าไปในห้องนอนด้วย มันไม่ค่อยโอเค

แต่ตั้งแต่ตื่นตี 4 เพื่อทำงาน ผมค้นพบว่า การนอนของผมดีขึ้น หลับสบายขึ้น สนิทขึ้น และง่ายขึ้น

ส่วนหนึ่งคือ (น่าจะเป็นเหตุผลเชิงจิตวิทยา) ผมพอใจกับเนื้องานที่ได้ในแต่ละวันมากขึ้น

น่าแปลกที่เมื่อก่อนต่อให้ทำงานเยอะแค่ไหน ก็ไม่รู้สึกว่าทำงานทัน ทำหนักแค่ไหนก็ไม่รู้สึกว่าเพียงพอ แต่เมื่อตื่นตี 4 มีวินัย มีตารางเวลาชัดเจน ทำน้อยแต่รู้สึกว่าได้เยอะ และไม่ได้รู้สึกไปเองเพราะเนื้องานที่ได้มันตามเป้าจริงๆ

มีคำกล่าวว่า “ถ้าไม่เริ่มบริหารเวลาของตัวเองตั้งแต่วันนี้ จะมีคนอื่นหรือสิ่งอื่นบริหารให้”

6. มีเวลาให้ครอบครัวมากขึ้น

ในแง่ของเวลา แน่นอนว่าตื่นเช้าขึ้นมันต้องมีมากขึ้นอยู่แล้ว แต่ที่ผมคิดว่าสำคัญมันคือแง่ของความรู้สึก ซึ่งตรงนี้อาจเป็นอยู่คนเดียว ในฐานะที่ค่อนข้างติสท์และค่อนข้างต้องการความเป็นส่วนตัวสูง การตื่นเช้ามากขึ้นทำให้ผมสามารถมีเวลาส่วนตัวตรงนี้ได้โดยไม่ต้องไปเบียดเบียนเวลาของครอบครัว

ผมค้นพบว่า ช่วงเวลาเช้าที่ได้ตื่นมาอยู่สงบๆคนเดียว มันเพียงพอมากๆ มากจนทั้งวันสามารถให้เวลาครอบครัวได้มากขึ้น ใจไม่ลอยไปหาช่วงเวลาสงบๆ

พูดง่ายๆ เวลาที่อยู่กับครอบครัว ผมอยู่ตรงนั้นจริงๆทั้งตัวและหัวใจ ซึ่งมันดีมาก

ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ ในส่วนเงื่อนไขของความสำเร็จ ผมว่าอย่าไปซีเรียสมาก คนสำเร็จตั้งมากที่นอนตื่นสาย ตื่นเร็วมันแค่ช่วยให้มีเวลาสงบๆในการทำงานมากขึ้น

เอาเป็นว่าถ้าทุกวันนี้บ่นกับตัวเองว่า ไม่มีเวลาให้ตัวเอง เวลาทำงานไม่พอ ลองตื่นตี 4 ดูครับ ปัญหานั้นจะหมดไป

OHMPIANG
เจษ ธีระธรณ์


แชร์ให้คนที่คุณรัก:


{"email":"Email address invalid","url":"Website address invalid","required":"Required field missing"}
>