เคยมีคำถามเหล่านี้ไหมครับ?
ทำไมคนๆหนึ่งถึงซึมเศร้า ในขณะที่อีกคนหนึ่งมีความสุข?
ทำไมคนๆหนึ่งถึงมั่งคั่ง เต็มไปด้วยสิ่งดีๆ ในขณะที่อีกคนหนึ่งยากจน เต็มไปด้วยความผิดหวัง?
ทำไมคนๆหนึ่งถึงจิตตก ตื่นกลัว และกังวลไปเสียทุกเรื่อง ในขณะที่อีกคนหนึ่งเต็มไปด้วยศรัทธาและความมั่นใจ?
ทำไมคนๆหนึ่งถึงมีบ้านสวยงาม หรูหรา ในขณะที่อีกคนหนึ่งใช้ชีวิตอย่างแร้นแค้นในชุมชนแออัด?
ทำไมคนๆหนึ่งถึงประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ในขณะที่อีกคนหนึ่งล้มเหลวไม่เป็นท่า?
ทำไมนักพูดคนหนึ่งถึงโดดเด่น มีคนติดตามมากมาย ในขณะที่อีกคนหนึ่งธรรมดา และไม่มีคนรู้จัก?
ทำไมคนๆหนึ่งถึงถูกเรียกว่าอัจฉริยะในสายงานที่เขาทำ ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็เป็นเงินเป็นทองไปหมด ในขณะที่อีกคนหนึ่งทั้งปากกัดตีนถีบมาตลอด แต่ก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน?
ทำไมคนๆหนึ่งสามารถหายจากโรคร้ายที่ไม่ว่าใครก็บอกว่าไม่มีทางรักษา ในขณะที่อีกคนหนึ่งไม่สามารถหายจากโรคเดียวกันนี้ได้?
ทำไมคนหลายคนที่เป็นคนดี มีศรัทธาแรงกล้าในศาสนาและความเชื่อของตัวเอง ถึงต้องทนทุกข์ทรมานกับคำสาปทางกายและทางใจที่ทำให้เขาไม่มีความสุข ในขณะที่คนที่ทำตัวเหลวแหลก ไร้ศาสนา ถึงมีชีวิตที่เต็มไปด้วยคุณภาพ ความมั่งคั่ง และสุขภาพที่ดี?
ทำไมผู้หญิงคนหนึ่งถึงมีชีวิตแต่งงานที่เพียบพร้อมและการเติมเต็ม ในขณะที่น้องสาวของเธอกลับมีชีวิตคู่ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ และความหงุดหงิด?
มันมีคำตอบสำหรับคำถามเหล่านี้ และคำตอบนั้นอยู่ใน การทำงานของจิตสำนึกและจิตใต้สำนึก
จิตสำนึก Vs จิตใต้สำนึก
จิตใต้สำนึกเป็นเหมือนกับคลังความจำขนาดใหญ่ที่คอยเก็บทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับคุณเอาไว้ เป็นคลังที่ไร้ขอบเขต ไม่มีขีดจำกัด พูดง่ายๆคือ ความจริงแล้วคุณสามารถจำทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของคุณได้ หรือจะให้พูดให้ถูกต้องคือ ทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับดวงจิตดวงนี้ของคุณได้ ที่สำคัญจิตใต้สำนึกเป็นเหมือนสะพานเชื่อมระหว่างจิตของคุณกับจิตของทุกสรรพสิ่ง
ส่วนจิตสำนึกเป็นเหมือนกัปตันที่คอยควบคุมทิศทางของเรือ หน้าที่คือ นำพาทุกคนไปถึงจุดหมายและคอยสั่งการลูกเรือในตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ โดยเฉพาะลูกเรือที่ต้องทำงานในห้องเครื่องที่ไม่มีโอกาสได้เห็นอะไรเลย พวกเขามีหน้าที่ทำตามคำสั่งอย่างเดียว ต่อให้กัปตันสั่งให้พวกเขาพาเรือไปเกยหินโสโครก พวกเขาก็จะทำเพราะกัปตันมีอำนาจในการสั่งการ และบนเรือกัปตันมีอำนาจสูงสุด
จิตสำนึกคือ กัปตันเรือ
จิตใต้สำนึกคือ ลูกเรือที่คอยรับคำสั่งทุกอย่าง
วิธีที่จะเข้าใจการทำงานของทั้งสองได้ง่ายที่สุดคือ นึกภาพจิตของคุณเป็นสวน และคุณเป็นชาวสวนที่กำลังหว่านเมล็ดพันธุ์ (ความคิด) ลงไปในดิน (จิตใต้สำนึก) ตลอดทั้งวัน ซึ่งเมล็ดพันธุ์เหล่านี้คุณได้รับมาจากอุปนิสัยการคิดและการใช้ชีวิตในแต่ละวันผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 ที่ถูกควบคุมโดยจิตสำนึก
สิ่งที่น่าสนใจคือ เมล็ดพันธุ์ที่คุณหว่านลงไปในจิตใต้สำนึก คุณจะได้เก็บเกี่ยวผ่านร่างกาย และสิ่งที่เกิดขึ้นรอบตัวในโลกภายนอก
ทุกครั้งที่คุณพูดว่า “ทำไม่ได้” “ไม่มีเงิน” หรือ “ไม่มีปัญญา” จิตใต้สำนึกของคุณจะเชื่อคำพูดนั้นและทำทุกวิถีทางเพื่อให้สิ่งที่คุณพูดเป็นความจริง
ฝึกใช้ พลังจิตใต้สำนึก อย่างง่ายใน 5 ขั้นตอน
จากหนังสือขายดีตลอดกาล The Power of Your Subconscious Mind มีฉบับแปลภาษาไทยแล้ว ผมสรุปขั้นตอนที่คุณจะสามารถฝึกใช้ พลังจิตใต้สำนึก เพื่อเนรมิตสิ่งที่ต้องการได้ แบบง่ายๆใน 5 ขั้นตอน
1. ยอมรับไอเดียที่ว่า จิตใต้สำนึก มีอยู่จริง
ข้อนี้สำคัญที่สุด เพราะมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่คุณจะฝึกโดยที่ไม่เชื่อว่าสิ่งนี้มีอยู่จริง ถ้าคุณกำลังบอกว่า คุณจะเชื่อเฉพาะสิ่งที่ตาเห็นเท่านั้น มันก็ไม่ต่างอะไรเลยจากการที่คุณไม่เชื่อในพลังของไฟฟ้าหรือพลังของกฎแห่งแรงโน้มถ่วง
คุณไม่สามารถเห็นพลังเหล่านั้นได้ด้วยตาเปล่า แต่คุณสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้ พลังจิตใต้สำนึกก็เช่นกัน มันอยู่ตรงนั้น มันสร้างปาฏิหาริย์ให้คนทั่วโลกได้ อยู่ที่คุณแล้วแหละว่าจะยอมรับและฝึกฝนใช้พลังของมันเมื่อไหร่ และอย่างไร
คำถามง่ายๆที่ผมชอบถามคนที่เข้ามาปรึกษาคือ
“มีอะไรต้องเสีย?”
ถ้าที่ผ่านมาลองมาทุกทางแล้ว แต่ยังไม่เข้าใกล้สิ่งที่ต้องการ
“มีอะไรต้องเสีย?”
ถ้าที่ผ่านมาเหนื่อยแสนเหนื่อย และกำลังมองหาวิธีที่มันง่ายขึ้นเพื่อจะได้เอาเวลาไปทำอย่างอื่น เอาไปมีความสุขบ้าง
“มีอะไรต้องเสีย?”
สำหรับตัวผมเอง มันไม่มีอะไรต้องเสียครับ แต่มันอาจจะเปลี่ยนอะไรหลายๆอย่างในชีวิต ถ้าเผื่อว่ามันมีอยู่จริงและได้ผลสำหรับตัวคุณและครอบครัว
2. คุยกับตัวเองให้จบว่า ต้องการอะไร
คุณต้องการสิ่งใดมากที่สุดตอนนี้? Keyword คือ มากที่สุด
อาจจะเป็นบ้านหลังใหม่ รถคันใหม่ รายได้ที่มากขึ้น การเลื่อนตำแหน่ง คู่ชีวิต สุขภาพ ความสุข ความสงบ โอกาส ทางออก ทางไปต่อ ธุรกิจใหม่ๆปังๆ ยอดขาย หุ้นส่วนที่ดีขึ้น
เรื่องนี้ผมไม่สามารถบอกได้ คุณต้องตัดสินใจด้วยตัวเองว่าตอนนี้คุณต้องการสิ่งใดมากที่สุด
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ให้โฟกัสไปที่สิ่งนั้น จริงอยู่ที่คุณสามารถมีสิ่งที่คุณต้องการที่สุดมากกว่า 1 อย่าง มันไม่แปลก ผมเองก็มีหลายอย่าง แต่เหตุผลที่บทความนี้แนะนำให้เริ่มที่ 1 อย่างก็เพราะมันจะง่ายขึ้น และมันอาจจะเร็วขึ้น
จริงอยู่ที่จิตใต้สำนึกสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าจะเกิดขึ้นในชั่วข้ามคืนเสียทุกเคส บางอย่างต้องใช้เวลานาน บางอย่างอาจนานจนลืมไปแล้ว แต่ขอให้รู้ไว้ว่ามันกำลังมา ดังนั้นเริ่มที่ 1 อย่างที่คุณต้องการมากที่สุด และโฟกัสไปที่สิ่งนั้น
แต่คำถามคือ ถ้าเราไม่รู้ว่าเราต้องการอะไรมากที่สุดล่ะ?
ไม่ใช่ปัญหาครับ ผมก็เป็น คนมันอยากได้อยากมีเยอะแยะไปหมดเนอะ จะให้เลือกได้ง่ายๆก็แปลกละ
สิ่งที่ผมทำแล้วได้ผลมากๆคือ ผมบอกกับตัวเองเช้าหลังตื่นนอนและทุกคืนก่อนเข้านอนว่า
“จิตใต้สำนึกของผมรู้ดีและพร้อมจะบอกใบ้ว่าสิ่งที่ผมต้องการที่สุด ที่จะดีกับอนาคตในอีก 5 ปีข้างหน้าของผมคืออะไร”
คำตอบอาจมาในความฝัน สัญญาณ หรือแม้แต่ในบทสนทนาที่อยู่รอบตัว แต่คุณจะไม่มีวันจับคำใบ้นั้นได้ หากใจยังขุ่นมัว ดังนั้นผมแนะนำให้ฝึกสมาธิ
3. Affirmation
แปลง่ายๆคือ เป็นการพูดย้ำในสิ่งที่เราต้องการราวกับว่าสิ่งนั้นได้เกิดขึ้นแล้ว
ส่วนตัวผมจะใช้วิธี Affirmation 2 แบบคือ เขียน และพูด ประโยชน์ 2 เด้ง เพราะการเขียนเป็นการตอกย้ำว่าเราต้องการอะไร และการพูดเป็นการคอนเฟิร์มว่ามันเป็นสิ่งที่เราต้องการจริงๆ
ผมเป็นนักเขียน ผมเชื่อในพลังของกระดาษและปากกา ผมเชื่อในพลังของคำพูด และผมเชื่อว่าทุกอย่างเมื่อถูกเขียนลงไปบนกระดาษแล้ว มันคือพันธสัญญา และมันจะกลายเป็นความจริง
ตอนเช้าหลังตื่นนอนและทำสมาธิเสร็จ ผมจะนั่งเขียนสิ่งที่ผมต้องการราวกับว่ามันเกิดขึ้นจริงแล้ว
ก่อนนอนหลังสวดมนต์และนั่งสมาธิเสร็จ ผมจะหยิบสิ่งที่เขียนในตอนเช้า เดินไปหน้ากระจก มองไปในดวงตาของภาพที่สะท้อนกลับมาและอ่านสิ่งที่ผมเขียนออกเสียง
สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องรายได้ Affirmation แรกสุดเลยในชีวิต ผมยืม Bob Proctor มาใช้ และมันก็สร้างปาฏิหาริย์ให้กับชีวิตผมตั้งแต่อาทิตย์แรกๆเลยของการใช้
4. ขอบคุณทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้า พลังจักรวาลมีอยู่จริง คุณคิดว่าท่านจะพึงพอใจกับคนแบบไหน
ระหว่างคนที่ไม่ว่าจะได้รับสิ่งไหน เล็กน้อยแค่ไหน ก็ขอบคุณและเห็นคุณค่าของสิ่งที่เขาได้รับ กับคนที่ได้ไปแล้วเมินเฉย ไม่หือ ไม่อือ ไม่ยินดี ยินร้าย ไม่สำนึกขอบคุณ
คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว และผมอยากจะบอกว่า บ่อยครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหน มันเป็นบททดสอบว่าคุณเห็นค่าของสิ่งที่ได้รับหรือเปล่า เพราะถ้าคุณไม่สามารถเห็นค่าของสิ่งที่ได้รับในวันนี้ ไม่มีสิ่งไหนที่มั่นใจได้เลยว่าคุณจะเห็นค่าของสิ่งที่คุณขอ ในวันที่คุณได้สิ่งนั้นในมือแล้ว
หนังสือที่อธิบายเรื่องการขอบคุณได้ชัดเจนมากๆเลยคือ The Science of Getting Rich
ฝึกฝนที่จะขอบคุณทุกอย่างที่เกิดขึ้น อันนี้ผมเองไม่เคยทำ แต่เมืองนอกเขาแนะนำให้ซื้อสมุดจดมาสักเล่ม ตั้งชื่อสมุดเล่มนี้ว่า สมุดขอบคุณ จากนั้นทุกคืนก่อนนอนนั่งทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน และเขียนขอบคุณลงไป
ขอบคุณภรรยาที่วันนี้ทำอาหารเย็นแสนอร่อยให้กิน
ขอบคุณลูกๆที่วันนี้ทำตัวน่ารัก นอนเร็ว แปรงฟันเอง
ขอบคุณลูกค้าที่วันนี้โอนง่าย ถามน้อย ซื้อเยอะ และบอกต่อ
ขอบคุณตัวเองที่วันนี้สามารถมีความสุขได้แบบง่ายๆ ไม่มีเงื่อนไขมากมาย
ขอบคุณพ่อแม่ที่ยังมีชีวิตอยู่ แข็งแรง พึ่งพาตัวเองได้ และให้ค่าขนมเราบ่อยๆ
5. ปล่อยให้จิตใต้สำนึกทำงาน อย่าไปขัดขวาง
อุปสรรคที่คอยขัดขวางไม่ให้สิ่งที่คุณต้องการเกิดขึ้นจริงไม่ใช่คู่แข่ง ไม่ใช่ความโชคร้าย ไม่ใช่อะไรเลย มันคือตัวคุณเองนั่นแหละ ถ้าจะให้ชี้ให้ตรงจุด มันคือ ความพยายามของคุณที่ต้องการให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น
หน้าที่ของคุณคือ โฟกัสทำในสิ่งที่สามารถทำได้ตรงหน้า
หน้าที่ของคุณไม่ใช่พยายามลุ้นและต้องการให้สิ่งที่อยากได้เป็นจริง
Dr. Maxwell Maltz ศัลยแพทย์ชื่อดังเขียนไว้ในหนังสือของเขาว่า
“สมองของมนุษย์มีหน้าที่เก็บข้อมูล กรองข้อมูล และประเมินสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นจากข้อมูลเหล่านั้น แต่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหา!”
และนี่แหละคือจุดเริ่มต้นของความยาก เพราะมนุษย์ยุคใหม่ถูกโปรแกรมให้พยายามแก้ปัญหาด้วยสมองและสองมือ
ความสำเร็จที่คุณต้องการ คำตอบที่คุณตามหา อาจจะเกิดขึ้นเมื่อคุณปล่อยวางความพยายามและการฝืนดิ้นรนแบบโลกๆ
Key คือรู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ตอกย้ำสิ่งที่ต้องการ เรียนรู้ที่จะขอบคุณ และปล่อยให้ทุกอย่างอยู่ในความควบคุมของพลังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวของเรา
ถ้าที่ผ่านมาใช้พลังของตัวเองเต็มที่แล้ว แต่ยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการเสียที ลองปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพลังอันยิ่งใหญ่ที่พร้อมจะสนับสนุนเราบ้าง ในขณะที่เราทำในสิ่งที่เราทำได้อย่างเต็มศักยภาพ
อีกครั้ง คุณมีอะไรต้องเสีย?
เคสที่ดีมากๆที่ผมอยากแบ่งปันคือ เคสของแม่ค้าแตงโมท่านหนึ่งที่อ่านหนังสือ The Power of Your Subconscious Mind และเปิดใจทำตามแบบไม่มีเอ๊ะ ไม่มีอ๊ะ
=====
สวัสดีค่ะ ชื่อ สนธยา เป็นแม่ค้าขายแตงโม
ขออนุญาตแชร์เรื่องตื่นเต้นจากหนังสือเล่มนี้ ที่ซื้อราคาต่อเล่มสูงสุดในชีวิต
ได้รับหนังสือวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2564 เปิดดูคร่าวๆทั้งเล่มทันทีและทยอยอ่านทุกครั้งที่มีเวลา
วันที่ 28 มีนาคม 2564 พอเริ่มเข้าใจก็ใช้งานได้ทันทีด้วยความคิด ขอ รู้สึกว่าได้รับมาแล้ว หารูปสิ่งที่ต้องการ เปลี่ยนโปรไฟล์ในไลน์ เปลี่ยนภาพพื้นหลังในโทรศัพท์เป็นสิ่งที่ต้องการ
วันที่ 16 พฤษภาคม 2564 ได้รับสิ่งที่ขอ ได้สัมผัส ครอบครอง สิ่งนี้ในมือจริงๆ
ขอบคุณหนังสือล้ำค่าเล่มนี้ จะตั้งใจอ่านรอบที่ 2 เพื่อให้เข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น
“ฉันร่ำรวย รุ่งเรือง มากขึ้นในทุกๆด้าน ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน”
สนใช้คำนี้พูดกับตัวเองบ่อยๆค่ะ
=====
แม่ค้าขายแตงโมท่านนี้ใช้เวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้นตั้งแต่เริ่มต้นรู้จักพลังของจิตใต้สำนึกในการเสกทองคำ (สิ่งที่เธอต้องการ) ให้กลายเป็นจริงจับต้องได้
ทุกอย่างเริ่มต้นที่ความคิด จากความคิดถูกส่งไปยังจิตใต้สำนึก และสุดท้ายถูกทำให้กลายเป็นความจริงด้วยการลงมือทำ
สุดท้ายนี้ทั้งหมดที่คุณได้อ่านในบทความนี้เป็นเพียงแค่ปฐมบทของการใช้พลังจิตใต้สำนึกเท่านั้น หากต้องการศึกษาเพิ่มเติม หรือหาไอเดียเพิ่มว่าเราควรจะคุยกับจิตใต้สำนึกอย่างไร ผมขอแนะนำหนังสือ The Power of Your Subconscious Mind แปลไทย เวอร์ชั่นปกแข็ง ควรค่าแก่การสะสม เล่มนี้
อ่านตัวอย่างและรีวิวหนังสือ The Power of Your Subconscious Mind ได้ที่ >> https://ohmpiang.com/the-power-of-your-subconscious-mind/
หรือสั่งซื้อผ่าน Line Shop ได้ที่ >> https://shop.line.me/@ohmpiang/product/1000344313
(หมายเหตุ – มีในรูปแบบหนังสือเสียง ฟังผ่านแอพ OHMPIANG ได้ทุกที่ ไม่มีหมดอายุ)
[…] […]